ลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัย คะแนนติดระดับท็อป จู่ ๆ หายตัวไป 9 ปี พ่อแม่ออกตามหาจนหมดเงิน ก่อนรู้ความจริงสุดเจ็บปวด (ตปท.)

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ต่างประเทศ SOHA ได้มีการรายงานเรื่องราวของเด็กหนุ่มอนาคตไกลรายหนึ่ง ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยคะแนนอันดับท็อป เขาเป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่และคนทั้งหมู่บ้าน แต่แล้วจู่ ๆ ชายคนนี้ก็หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา จนพ่อแม่ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการตามหา ซึ่งใช้เงินเก็บไปจนหมดแล้ว กับภารกิจตามหาลูกชายของพวกเขาตลอด 9 ปีที่ผ่านมา

โดยครั้งสุดท้ายที่คู่รักได้รับการติดต่อจากลูกชาย คือ SMS ที่ถูกส่งมาจากเบอร์แปลก ๆ เมื่อปี 2552 บอกเพียงว่า พ่อ ตอนนี้ผมอยู่ปักกิ่ง ผมไปได้สวยไม่ต้องเป็นห่วงนะ แต่เมื่อผู้เป็นพ่อโทร. กลับไป ก็มีคนอื่นรับสาย อ้างว่าเป็นเพื่อนของลูกชาย และบอกให้เขาโทร. มาใหม่อีกครั้ง แต่เมื่อพ่อจะโทร. ไปอีกหลังจากนั้น ก็ไม่มีคนรับสายอีกเลย แถมยังถูกตัดสายทิ้งอีกต่างหาก

นั่นจึงทำให้คู่สามีภรรยาเป็นห่วงลูกชายอย่างมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับ จึงตัดสินใจเดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง ของประเทศจีน ในวันรุ่งขึ้น แต่กลับพบว่าบ้านที่ลูกชายเคยเช่าอาศัยอยู่ กลายเป็นบ้านที่ถูกทิ้งว่าง คนอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีใครรู้ว่า ลูกของพวกเขาอยู่ที่ไหน แต่พ่อแม่ยังคงตามหาไม่ลดละ จนเงินของพวกเขานั้นหมด จึงทำได้แค่ไปลงบันทึกเรื่องบุคคลสูญหายที่สถานีตำรวจ ก่อนเดินทางกลับบ้านเกิด

แต่พวกเขาก็ยังพยายามกลับมาตามหาลูกที่ปักกิ่งถึง 5 ครั้ง ตลอดช่วงเวลา 9 ปี จนกระทั่ง เมื่อผู้เป็นแม่ล้มป่วยด้วยโรคร้าย ไม่เหลือแรงจะออกตามลูกชาย ทางครอบครัวจึงตัดสินใจร้องสื่อทั้งน้ำตา วิงวอนให้ลูกชายกลับมาบ้าน เพื่อผู้เป็นแม่ที่อยากเห็นหน้าลูกอีกสักครั้งก่อนจะลาโลกนี้ไป จนกลายเป็นข่าวที่สร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้คนทั่วประเทศเป็นอย่างมากในช่วงปี 2561

ในที่สุดพลังโซเชียลก็บังเกิดผล เพียง 2 เดือนหลังจากที่สื่อนำเสนอข่าวการตามหาลูกชายของแม่ที่ป่วยโรคมะเร็ง ลูกชายของเขาที่ไม่ได้เจอตลอด 9 ปี ก็ติดต่อกลับมา และครอบครัวก็ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง นั่นจึงทำให้ทุกคนได้รับรู้คำตอบ ว่าชายหนุ่มรายนี้หายตัวไปได้อย่างไร และความจริงที่ได้รู้ก็สะเทือนใจไม่แพ้กัน

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2546 หยางเริ่นหรง เป็นเด็กหนุ่มหัวดีที่สร้างความภาคภูมิใจแก่พ่อแม่ ด้วยการสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังด้วยคะแนนอันดับท็อป โดยเขาได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศ ของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง การสอบติดมหาวิทยาลัยชั้นนำถือเป็นเกียรติของวงศ์ตระกูล พ่อแม่ที่มีความสุขจึงจัดงานฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่โดยเชิญคนมาทั้งหมู่บ้าน

ตอนนั้นเด็กหนุ่มเปี่ยมไปด้วยพลังและความมั่นใจ เพราะเขาเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่ และเป็นแบบอย่างสำหรับเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน แต่หลังจากไปเรียนที่กรุงปักกิ่ง โลกแห่งความเป็นจริงไม่สวยงามแบบที่ฝัน เขาเรียนไม่ทันเพื่อน ๆ ไม่รู้เรื่องในสิ่งที่อาจารย์สอน จึงคิดที่จะเปลี่ยนสาขาวิชาเอก ไปเรียนด้านฟิสิกส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบ

จากนั้น หยางเริ่นหรง จึงไปบอกให้พ่อแม่รู้ว่าจะเปลี่ยนสายการเรียน แต่ทางด้านพ่อและแม่ที่การศึกษาไม่สูงนัก พยายามโน้มน้าวลูกชายให้คิดใหม่ พวกเขาไม่เข้าใจในความลำบากของลูกชาย สุดท้ายเด็กหนุ่มก็รู้สึกว่า การเปลี่ยนเอกคือการยอมรับว่าการตัดสินใจก่อนหน้านี้เป็นเรื่องผิดพลาด และเขาก็ไม่อยากให้ใครรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ระหว่างช่วงเวลา 4 ปีในมหาวิทยาลัย หยางเริ่นหรงใช้ความพยายามอย่างมากในทุกการสอบ ตอนแรก ๆ เขาก็ยังพอทำได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกรดก็ตกลงเรื่อย ๆ เขารู้ตัวว่าตัวเองมีความสามารถไม่เพียงพอ ในขณะที่พ่อแม่ยังคงเชื่อมั่นในตัวลูกชายที่แสนฉลาด ไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชาย

ท้ายที่สุด หยางเริ่นหรง ที่ใกล้จะเรียนจบ ก็ไม่ได้เข้าสอบวิชาสุดท้าย แม้ทางมหาวิทยาลัยจะเตือนเขาหลายครั้ง ว่าเขาจะได้รับวุฒิเมื่อมาสอบต่อให้เสร็จ แต่เขาก็เลือกที่จะดร็อปเรียน แล้วออกจากมหาวิทยาลัยไป ตั้งใจที่จะหางานทำเพื่อเก็บเงินให้ได้มาก ๆ แต่ด้วยสถานะของคนที่เรียนไม่จบอย่างเขา จึงไม่มีบริษัทใหญ่ ๆ รับเข้าทำงาน ต้องหันมาทำงานทั่วไป เช่น พนักงานเสิร์ฟ พนักงานขายของ และอื่น ๆ โดยตั้งใจว่าเมื่อหาเงินได้มากพอแล้ว จึงจะกลับไปบ้านอีกครั้ง

จริงอยู่ที่ชีวิตแสนลำบาก ทำให้เด็กหนุ่มคิดอยากกลับบ้านเกิด แต่เมื่อนึกถึงสายตาแปลก ๆ ที่จะได้รับจากเพื่อนบ้าน รวมถึงกลัวพ่อแม่ผิดหวัง เขาเลยไม่กล้ากลับไป ยอมลำบากทำงานหาเงิน และไม่ได้ติดต่อใครอีกเลย รวมแล้วเป็นเวลาถึง 9 ปี นับตั้งแต่ที่เขาติดต่อไปหาพ่อแม่ครั้งสุดท้าย จนเมื่อเขาได้เห็นคลิปของพ่อแม่ ที่ออกมาวิงวอนทั้งน้ำตาขอให้เขากลับบ้าน เขาจึงรู้สึกผิดมาก และยอมติดต่อกลับไปยังเบอร์เก่าของพ่อแม่ที่ยังจำได้ ก่อนจะได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง

ทั้งนี้ แม่ของเขาโผกอดเขาทั้งน้ำตา มันเป็นช่วงเวลาน่ายินดีที่ครอบครัวกลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า โดยหยางเริ่นหรงเองก็ยอมรับว่า เขารู้สึกผิดอย่างยิ่ง จริง ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ควรกลับมาบ้านนานแล้ว โดยจากนี้เขาตั้งใจจะอยู่กับพ่อแม่ไปทั้งชีวิต และพยายามไม่ให้พวกท่านต้องเผชิญความลำบากอีก

ข้อมูล SOHA