เป็นอีกหนึ่งคู่ที่รอคอยกฎหมายสมรสเท่าเทียม เบน ชลาทิศ กับแฟนหนุ่ม ล่าสุดเมื่อมีมติให้กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านผู้สื่อข่าวได้ถามความรู้สึกของนักร้องหนุ่มว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง
กฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทยผ่านแล้วเราจะจดทะเบียนในไทยไหม? “จดอยู่แล้ว ครบรอบแต่งงานเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.แล้ววันที่ 18 มิ.ย. เราได้รับข่าวดี เราก็มองกันอยู่ว่าจะก้าวต่อไปกับชีวิตคู่ของเราอย่างไร ผมรู้สึกดีใจกับพี่ๆน้องๆ LGDPQ+ ทุกคนครับ“
ดูฤกษ์หรือยังว่าจะไปจดกันวันไหน ? “มันฉุกละหุกอยู่ แต่รู้สึกดีใจ (ตอนที่แต่งงานเรารู้สึกอย่างไรบ้าง?) ตอนที่เราตัดสินใจแต่งงาน เพราะเราอยากใช้ชีวิตกับคนคนนี้ น่าจะเหมือนกับทุกคน ที่มีคนรักแล้วอยากที่จะให้เกียรติเขา และอยากให้ความมั่นคงความมั่นใจกับเขา การแต่งงานการมีทะเบียนสมรสเหมือนเป็นการให้ความเชื่อมั่นกับคู่รักของเรา
ในเรื่องของทางกฎหมายมันอาจจะไม่ได้ใช้ได้จริงในกฎหมายบ้านเมืองเรา ณ ตอนนั้น แต่ตอนนี้มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม มันเป็นอีกสเต็ปหนึ่งที่แสดงให้เห็น ถึงความเป็นตัวเองและภูมิใจในความเป็นคน สิ่งที่ผมเชื่อมาเสมอก็คือคนเท่ากับคน“
ตอนที่จดทะเบียนที่นั้นเป็นอย่างไร? “เราไปจดทะเบียนกันในโบสถ์ แล้วก็มีทีมงานของทางรัฐมาเซ็นรับรองให้ จัดกันเป็นงานเล็กๆ 10 กว่าคน หลังจากที่จดทะเบียนแล้ว เรารู้สึกว่าชีวิตคู่มันสมบูรณ์ อย่างน้อยแฟนเราเขาก็มั่นใจว่าความรักของเราเป็นความรักที่จริงจัง”
ครบรอบกี่ปีแล้ว? “จดทะเบียนครบรอบ 5 ปี แต่กับแฟนคนนี้เราคบกันมา 10 ปีแล้ว ผมก็มองข้างหน้ารอสเต็ปต่อไป รอเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เรื่องการเซ็นมอบอำนาจ สิทธิ์ต่างๆ ซื้อประกันให้กันได้หรือยัง ก่อนหน้านี้ผมอยากซื้อประกันให้แฟนมาก ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาผมอยากจะเซ็นมอบให้กับแฟน แต่พอบอกคนที่ทำประกันว่าแฟนผมมีคำนำหน้าว่านาย เขาก็บอกว่าไม่ได้ อันนี้คือสิ่งที่ได้เจอกับตัว แต่ไม่เคยเจอเคสเรื่องขอการเซ็นผ่าตัด มีแต่คนอื่นเจอมา
สำหรับตัวผมและหลายๆคน การที่เราได้เห็นกฎหมายสมรสเท่าเทียมเกิดขึ้น เขาไม่ได้ดีใจมาก หรือรู้สึกว่าได้อะไรมากกว่าใคร เพียงแค่สิ่งที่เราเรียกร้องกันคือความเท่ากัน ไม่ต้องการมากกว่า แค่ต้องการความเท่ากัน”
เราสามารถมาจดทะเบียนสมรสที่ไทยได้อีกครั้งใช่ไหม หลังจากจดที่ต่างประเทศแล้ว? “อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมเคยจดทะเบียนที่ต่างประเทศมาก แต่พอมาที่ประเทศไทยใช้ไม่ได้ ขอศึกษาก่อน”
สิ่งแรกที่เราอยากทำถ้าได้จดทะเบียนสมรสที่ไทยคือ? “สิ่งแรกที่เราอยากทำคือ จะจัดงานแล้วก็เชิญแขกเยอะๆ เอาทุนคืน(หัวเราะ) แซวเล่นค่ะ ถ้าจดได้ผมก็อยากจะจดกับเขา ถือว่าโชคดีได้จัดงานแต่งอีกครั้ง และก็อยากซื้อประกันให้แฟนได้ อย่างน้อยก็เป็นหลักฐานว่าวันไหนที่เราไป เขาก็ยังมีเงินอีกก้อนที่เอาไว้ดูแลตัวเอง หลังจากที่เราไม่อยู่ เพราะว่าปัจจุบันเราก็เป็นคนดูแลครอบครัว หารายได้หลัก บางทีเราเป็นห่วงหลังจากที่เราไป แล้วเขาจะอยู่กันอย่างไง”
อย่างความรักของเราก็อยู่ด้วยกันมา 10 ปีมันก็เป็นการพิสูจน์ว่า ความรักของ LGDPQ+ ไม่ใช่ความรักที่ฉาบฉวย? “ผมมองว่าทุกคนมีความเสมอภาคกัน คนเรารักกัน เลิกกันได้ ไม่ว่าจะเพศไหน ไม่ใช่เฉพาะแค่ ชายๆ หญิงๆ หรือชายหญิง ทุกคนเสพสื่อเห็นอยู่แล้วปัญหาในสังคมมันเป็นยังไง ถ้าเรามองมนุยษ์ว่าเป็นคน ทุกคนสามารถทำดี ทำชั่ว ทำเลว ทำพลาดได้ แต่อย่างน้อยต้องมองว่าทุกคนมีสิทธิ์เท่ากัน”
แล้วกับคนที่เขายังคนมองว่าเพศนี้อยู่ข้างล่าง เพศนี้อยู่ข้างบน? “หมายถึงท่าน สว. นั้นเหรอ เขาไม่ได้กดเขาลงมาหาเรา ขอบคุณมากครับที่ออกตัว ก็ได้รู้จักกันแล้ว ขอบคุณให้ได้รู้จักกัน”
ตอนได้ยินจี๊ดไหม? “ไม่ได้จี๊ดธรรมดา ผมแค่งงว่า อุ๊ย มันเกิดขึ้นได้ยังไง ไอ้ความคิดนี้เกิดขึ้นได้ยังไง อันนี้ผมมองในมุมมองของผม ไม่ได้อยู่ในมุมมองของท่าน ท่านอาจจะอยู่ในสังคม หรือว่าแวดล้อมด้วยคนที่มีมุมมองแบบไหน อาจจะรู้สึกว่าสิ่งแบบนั้นคือถูก แต่ผมก็โตมาแบบนี้ ผมมีกระบวนการคิด มีสิ่งที่ผมพบเจอ ชีวิตมันสั่งสอนผมมา ไปเจอที่ไหนมา ก็มีความรู้สึกว่าอย่างน้อยท่านก็เคารพนะ สุดท้ายแล้วท่านก็ยังเคารพเสียงส่วนมากค่ะ”