เมื่อเวลาประมาณ 11 โมง ครึ่ง ภรรยาและน้องสาวของนายกิจจา มาเยี่ยมที่ห้องขังของโรงพัก แต่ตำรวจเฝ้าหน้าห้องขังไม่อนุญาต โดยอ้างว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้วให้รอตอนเที่ยง ทำให้นายกิจจา ที่ถูกคุมตัวอยู่ในห้องขังโวยวายเสียงดังออกมาทำนองว่า ญาติของผู้ต้องหาคนอื่นก็มาเข้าเยี่ยมไม่ตรงกำหนดเวลา แต่ทำไมตำรวจถึงให้เข้าเยี่ยมได้ ทำไมกรณีของตนไม่สามารถทำได้
เมื่อนักข่าวถามตำรวจที่เฝ้าหน้าห้องขัง บอกว่านายกิจจาโวยวายแบบนี้ทั้งคืน กระโดดไปมาอยู่ในห้อง ปีนลูกกรง โบกไม้โบกมือ และตะโกนคลุ้มคลั่งตลอดเวลา จนต้องแยกขังคนละห้องกับนาย นรเศรษฐ์ และตำรวจต้องเฝ้าดูผ่านกล้องวงจรปิดทั้งคืน
จากนั้นราวบ่ายโมงตำรวจนำตัวนางสาววาลิส และนางสาวอัญชลีพร มาสอบปากคำ เพิ่มเติมในคดีเสพยาเสพติด เพราะผลตรวจปัสสาวะเป็นสีม่วง จากการสังเกตขณะทั้งคู่สอบปากคำ พบว่าผ่อนคลายขึ้น
จากนั้นตำรวจคุมตัวนาย กิจจา ออกมาจากห้องขังของโรงพัก เพื่อสอบปากคำต่อ ระหว่างที่เดินผ่านนักข่าว นาย กิจจา โวยวายว่า “ผมไม่ได้รับความเป็นธรรม ผู้ต้องหาคนอื่นสามารถเล่นโทรศัพท์ภายในห้องขังได้” ไปดูบรรยากาศช่วงนี้
ตำรวจใช้เวลาสอบปากคำนาย กิจจา ราว 1 ชั่วโมง ก่อนจะนำตัวเข้าห้องขัง แล้วคุมตัว นาย นรเศรษฐ์ ออกมาสอบปากคำต่อ โดยเลี่ยงที่จะให้ทั้งคู่เผชิญหน้ากัน ซึ่งจากการสังเกตสีหน้าของนายนรเศรษฐ์นั้น ดูเคร่งเครียดมาก
ทีมข่าวได้สอบถามข้อเท็จจริงกับพันตำรวจเอก อุรัมพร เรื่องที่นายกิจจา โวยวาย ว่ามีบางคนได้ใช้มือถือในห้องขัง ผู้กำกับยืนยันว่า ตามระเบียบแล้ว ไม่สามารถเอาโทรศัพท์เข้าไปได้อยู่แล้ว คาดว่าที่ผู้ต้องหามีอาการแบบนี้ น่าจะเกิดจากความเครียด ประกอบกับนายกิจจา น่าจะเครียดเรื่องประกัน เพราะทั้ง 3 คนก็มีฐานะและนามสกุลดัง ตัวเขาเองอาจจะเคว้ง