“อาจารย์ มช.” ร้องวัดดังโบกปูนทับยักษ์ เก่าแก่อายุ 500 ปี จนไม่เหลือสภาพโบราณวัตถุ

อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร้องวัดดังเชียงใหม่โบกปูนบูรณะยักษ์ อายุ 500 ปี จากศิลปะล้านนา ประติมากรรมปูนปั้นขนาดใหญ่สูง 2 เมตร กลายเป็นรูปปั้นใหม่ แทบไม่เหลือสภาพโบราณวัตถุ

ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากอาจารย์มหาวิทยาลัยจังหวัดเชียงใหม่ คณะวิจิตรสิน พร้อมภาพถ่ายยักษ์โบราณเก่่แก่อายุ 500 ปี ถูก โบกปูนทำของโบราณเก่าแก่กลายเป็นของใหม่อย่างน่าเสียดาย นำภาพในอดีตกับภาพปัจจุบัน มาเปรียบเทียบให้ดู และเรียกร้องให้ผู้ที่ตัดสินใจทำการบูรณะยักษ์ดังกล่าวให้เป็นของใหม่ให้ออกมาแสดงความรับผิดชอบ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุรชัย จงจิตงาม. คณะวิจิตรศิลป์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เปิดเผยว่า ที่วัดอุโมงค์สวนพุทธธรรม จ.เชียงใหม่ ปัจจุบันได้มีการซ่อมแซมประติมากรรมปูนปั้นภาพยักษ์ขนาดใหญ่ในศิลปะล้านนาของวัดอุโมงค์สวนพุทธธรรม เชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ด้วยการปั้นพอกจนกลายเป็นของใหม่

ประติมากรรมปูนปั้นยักษ์ขนาดใหญ่สูงราว 2 เมตร เป็นรูปยักษ์ในศิลปะล้านนาที่พบอยู่ภายในวัดอุโมงค์มาแต่โบราณครั้งวัดอุโมงค์ยังเป็นวัดร้างอยู่กลางป่าหลายร้อยปี โดยคณะสงฆ์ และศรัทธาของวัดอุโมงค์สวนพุทธธรรมที่นำโดยท่านพุทธทาสภิกขุ และท่านปัญญานันทภิกขุ ซึ่งท่านได้ฟื้นฟูวัดอุโมงค์ขึ้นมาอีกครั้งท่านได้พบเห็นประติมากรรมยักษ์ดังกล่าวแล้วตั้งแต่ พ.ศ.2490 และท่านทั้งสองก็ทราบความสำคัญของศิลปกรรมอันล้ำค่าของบรรพบุรุษล้านนาแต่โบราณโดยได้ทำการรักษาไว้ตามเดิมสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งภาพประติมากรรมยักษ์ที่วัดอุโมงค์มีอายุไม่น้อยกว่า 400 ปี เพราะศิลปะโบราณภายในวัดได้ถูกทิ้งร้างไปตั้งแต่ครั้งเชียงใหม่ตกเป็นเมืองขึ้นพม่าเมื่อราว 400 ปีก่อน

ประติมากรรมยักษ์ดังกล่าว สภาพยังสมบูรณ์อยู่มาก มีศรีษะ และลำตัวครบ แม้แขนจะชำรุดบ้าง แต่ก็เป็นศิลปะที่มีค่า โดยในศิลปะล้านนาภาพยักษ์ในสภาพที่สมบูรณ์อายุหลายร้อยปีที่มีอายุหลายร้อยปีเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ประติมากรรมยักษ์ที่วัดอุโมงค์จึงมีความสำคัญในฐานะเป็นต้นแบบในการศึกษาภาพยักษ์ในศิลปะล้านนา ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างเฉพาะตัวไปจากภาพยักษ์ในศิลปะอยุธยา และรัตนโกสินทร์ที่กรุงเทพฯ ซึ่งพบเห็นได้ง่ายในจำนวนมากกว่า ฉะนั้น ยักษ์ที่วัดอุโมงค์จึงมีความสำคัญ และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อันหาได้ยากที่ควรรักษาไว้

อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ ราวปลาย พ.ศ. 2566 ได้มีบุคคลจากภายนอกที่ไม่รู้คุณค่าของศิลปะโบราณ ได้นำช่างฝีมือรุ่นใหม่มาทำการปั้นพอกปูนทับยักษ์โบราณในรูปแบบที่ปั้นใหม่ขึ้นทั้งหมด ทำให้ยักษ์วัดอุโมงค์จึงกลายเป็นของใหม่อย่างสิ้นเชิง ไม่เห็นผิวปูนโบราณแต่ดั้งเดิมเลยแม้แต่น้อย

เป็นการกระทำที่ทำให้ศิลปะล้ำค่าของโบราณหมดคุณค่า และก่อให้เกิดความเสียหายทางศิลปกรรม เพราะการซ่อมที่ถูกต้องนั้นในยุคปัจจุบันก็มีหลักการสากลถือปฏิบัติอย่างชัดเจนเช่น การทำความสะอาดผิวปูน การเสริมความแข็งแรงให้กับเนื้อปูนโบราณ หากจำเป็นต้องเสริมปูนเพิ่มเติมขึ้นใหม่ต้องระวังไม่ให้ไปทับกับเนื้อปูนที่เป็นฝีมือเดิมเมื่อหลายร้อยปีก่อน

การอนุรักษ์ถ้าหากกระทำอย่างถูกวิธีก็จะสามารถรักษาศาสนวัตถุโบราณให้แข็งแรงสวยงามตามสภาพฝีมือช่างเดิมได้ โดยไม่ต้องปั้นพอกใหม่ดังที่ปรากฏอยู่ ฉะนั้น แม้ว่าจะเจตนาดีที่อยากซ่อมแซมของโบราณ แต่ผู้ซ่อมก็ควรมีความรู้ในหลักการอนุรักษที่เป็นสากล การซ่อมแซมเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้ทำลายคุณค่าของฝีมือช่างแต่เดิม หากไม่มีความรู้ก็ควรเข้าไปปรึกษาหารือผู้ที่มีความรู้ก่อนการดำเนินการ

ภาพประติมากรรมยักษ์ศิลปะล้านนาโบราณที่วัดอุโมงค์สวนพุทธธรรม ถูกรักษาไว้อย่างดีมาโดยตลอดหลายร้อยปี แต่เมื่อราวปลาย พ.ศ. 2566 ได้มีบุคคลภายนอกวัดได้มาทำการปั้นปูนพอกยักษ์โบราณจนกลายสภาพ เป็นของใหม่หมดจนไม่เหลือร่องรอยของปูนโบราณอันเป็นฝีมือครูช่างในอดีตเลย

งานปั้นใหม่ในปัจจุบันเป็นของที่ทำได้ง่าย ทำเมื่อไรที่ไหนก็ได้ แต่ศิลปะที่ตกทอดมาแต่โบราณไม่สามารถทำเทียมได้ในสมัยปัจจุบัน ฉะนั้น จึงควรรักษา และซ่อมในแบบที่เคารพฝีมือครูช่างโบราณไม่ควรไปพอกทับจนเป็นของใหม่อย่างที่เห็น

บุคคลผู้ที่เป็นต้นความคิดในการซ่อม และออกเงินในการซ่อมควรออกมาแสดงความรับผิดชอบ รวมทั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบ ฯ ออกมาและชี้แจงกับสาธารณะเพราะงานศิลปะโบราณไม่ใช่สมบัติส่วนตัว หากคิดว่าการกระทำเช่นนั้นของตนถูกต้องก็ควรออกมาชี้แจงเหตุผลของตนแก่สังคมด้วย เพื่อให้สังคมเกิดการเรียนรู้ร่วมกันในการดูแลศิลปะอันล่ำค่า

นอกจากนั้นในฐานะที่ยักษ์ดังกล่าวเป็นโบราณวัตถุของชาติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรตรวจสอบการเข้าไปซ่อมแซมในลักษณะเช่นนั้นว่า ได้กระทำไปถูกขั้นตอนหรือไม่ในฐานะที่วัดอุโมงค์เป็นโบราณสถานของชาติในกลุ่มแรกๆ ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตั้งแต่ พ.ศ.2478 เมื่อเกือบ 90 ปีก่อน อีกทั้งวัดอุโมงค์มีความสำคัญยิ่งจนถึงขนาดพระอรรคชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏเมื่อครั้งเสด็จจากบางกอกมายังเชียงใหม่ล้านนา ได้ทรงประทับช้างบุกป่าเสด็จมาชมถึงวัดอุโมงค์ด้วยพระเนตรของพระองค์ตั้งแต่เมื่อ 2 มกราคม พ.ศ.2470 ดังปรากฏการพรรณนาไว้ใน “โคลงนิราศล่องแก่งแม่ปิง” ก็ย่อมสะท้อนถึงความสำคัญยิ่งของโบราณสถาน โบราณวัตถุในวัดอุโมงค์ที่มีมาอย่างยาวนานแต่อดีต ผู้ใดก็ตามที่จะมาซ่อมก็ควรเรียนรู้ประวัติความเป็นมา และควรเคารพอดีตก่อนที่จะกระทำการใดๆ